✜ chapter 1, multi-shot, PG-13
✜ pairing: Kris/Sehun
✜ #beautifulkrishun project
✜ หมายเหตุ วัน เวลา สิ่งของ สถานที่ และตำแหน่งทหารในฟิคเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมตินะคะ หากผิดพลาดจากความเป็นจริงอย่างไรขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ฮุฮิ
กำแพงอิฐสีขาวหมายเลข 506 ที่อยู่ด้านหลังศูนย์วิจัยเป็นกำแพงที่ทุกคนต่างบอกต่อๆกันมาว่ามีทางลับ ที่ฐานกำแพงหลังแนวพงหญ้ารกทึบมีประตูลับซ่อนอยู่
เซฮุนได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่จำความได้ เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รุ่นพี่บางคนที่แอบเล็ดลอดออกไปกลับมาเล่าให้ฟังว่ามันมีจริง และพูดด้วยใบหน้าสดใสว่าโลกภายนอกสนุกเพียงใด แต่ถึงแม้เขาจะพยายามตามหาประตูนั้นเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเสียที
“ทำไมจะต้องตามหาด้วยล่ะเซฮุน นายอยากออกไปข้างนอกมากขนาดนั้นเชียว”
“ผมแค่อยากออกไปเห็นอย่างอื่นที่เขียนไว้ในหนังสือและไม่ได้อยู่ในรั้วของศูนย์ฯนี้บ้าง”
“แต่เขาบอกว่าข้างนอกนั่นอันตราย”
...อาจจะใช่ คนบางคนที่แอบหนีออกไปบางครั้งก็ไม่ได้กลับเข้ามา
“มันคงจะไม่เป็นไรถ้าเราระวังตัว พี่ชานฮยอกยังกลับมา”
“บางทีนายอาจจะไม่ได้โชคดี ถ้านายไม่กลับมาฉันจะทำยังไง”
เซฮุนซบหน้าลงกับหัวเข่า ไม่อยากเงยขึ้นมาเห็นสีหน้าแบบนั้นของเพื่อนรุ่นพี่ ลู่หานเป็นคนสดใสร่าเริง แต่พอวกกลับมาพูดเรื่องการออกไปข้างนอกทีไร เขามักจะมีสีหน้าเป็นกังวลจนเหมือนกับจะร้องไห้
“ผมอาจจะโชคไม่ดีอย่างที่พี่ว่า แค่หาประตูยังไม่เจอเลย”
เขาได้ยินเสียงลู่หานถอนหายใจ ก่อนที่จะพูดประโยคถัดมา “เซฮุน ความจริงประตูนั่นมันไม่มีแล้ว มันถูกปิดตายไปเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“จริงเหรอครับ” เซฮุนถามกลับเสียงแหบแห้ง เหมือนกับความหวังของเขาพังทลายลงไปทันที
“จริง แต่วิธีออกไปข้างนอก ก็ไม่ได้มีแค่ทางนั้นทางเดียวไม่ใช่เหรอ”
ใช่... การจะออกไปข้างนอกนั้น นอกจากแอบหนีออกไป ยังมีวิธีที่ถูกต้องตามกฎระเบียบนั่นคือการทำเรื่องขออนุญาตไปยังผู้อำนวยการของศูนย์วิจัย แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกับการออกไปเที่ยวข้างนอกหนึ่งครั้งในระยะเวลาไม่เกินเจ็ดวันนั้น คือต้องส่งผลงานวิจัยเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายถึงได้ไม่ค่อยมีใครทำกัน ที่สำคัญคือจะต้องมีคนจากกองทัพมาเป็นผู้ดูแลตลอดระยะเวลาที่อยู่ข้างนอก
เซฮุนทอดสายตามองกำแพงสีขาวที่สูงยิ่งกว่าต้นไม้บางต้นในรั้วแห่งนี้ กำแพงสูงที่ซ่อนตัวอยู่หลังแนวต้นไม้ทำหน้าที่ตัดขาดโลกภายนอกกับพื้นที่หนึ่งพันห้าร้อยสิบแปดไร่ของศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งนี้ออกจากกัน ถึงแม้ข้างในจะมีทุกอย่างที่คนต้องการในการดำรงชีวิต มีห้องสมุดขนาดใหญ่ ศูนย์อาหาร ศูนย์กีฬา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ สวนผลไม้ แปลงเพาะปลูก และทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการทำวิจัยไม่จำกัดหัวข้อ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคืออิสรภาพ
เซฮุนอยากรู้เพียงแค่คำว่าอิสรภาพหมายถึงอะไร
เอกสารที่เซฮุนได้รับมาตอนเก้าโมงเช้าคือเอกสารอนุมัติ เขาได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้ในสัปดาห์หน้า และสิ่งที่ได้รับมาพร้อมกันคือเสื้อผ้าชุดใหม่สีเทาเรียบๆ แทนเสื้อตัวหลวมโคร่งสีขาวที่เด็กทุกคนต้องใส่เหมือนกัน
เซฮุนยังไม่ได้คิดว่าเขาจะออกไปทำอะไรหรืออยากไปที่ไหน เวลาที่เหลือก่อนไปเพียงสี่วันก็หมดไปกับการส่งหัวข้อวิจัยชิ้นใหม่ที่ยังไม่รู้วันกำหนดเสร็จ เป็นลู่หานที่หยิบหนังสือรูปภาพของโลกภายนอกมาเปิดกางให้ดู
...ทะเล ภูเขา ห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ สวนสนุก
โลกภายนอกมีแต่สิ่งน่าบันเทิงใจทั้งนั้น
“เซฮุนมีเวลาแค่เจ็ดวันเอง จะไปหมดทุกอย่างทันได้ยังไง”
“ผมไม่รู้เหมือนกันครับ”
“งั้นไปสวนสนุกก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน” ลู่หานยิ้มกว้างให้เซฮุน รุ่นพี่คนนี้ก็แปลก ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนไปแต่กลับตื่นเต้นแทนเขาขนาดนี้
“ไม่รู้ว่าคนที่กองทัพส่งมาดูแลเขาจะว่าอะไรรึเปล่า”
“...แล้วก็ทะเล ยังไงก็ต้องไปให้ได้นะ”
เด็กในศูนย์วิจัยไม่เคยมีใครได้เห็นทะเลมาก่อน ทุกคนถูกส่งเข้ามาอยู่ในศูนย์ฯตั้งแต่อายุยังไม่ถึงขวบ พวกเขาถูกคัดเลือกตามผลรายงานการแสกนสมองของเด็กทารกที่ถูกส่งให้ศูนย์ฯตั้งแต่แรกคลอด เด็กคนไหนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นอัจฉริยะจะมีหมายเรียกจากทางศูนย์วิจัยส่งไปที่บ้านของพ่อแม่ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พวกเขาไม่เคยเห็นแม้แต่ผู้ให้กำเนิดของตัวเอง ไม่รู้แม้แต่ชื่อที่อยู่ในทะเบียนประวัติซึ่งถูกเก็บเป็นความลับ จึงเป็นการยากที่จะตามหาในอนาคต แต่ดูเหมือนทุกคนจะลืมเลือนเรื่องเหล่านี้ไปหมดสิ้น เพราะทุกวันของพวกเขาหมดไปกับการศึกษาและงานวิจัย
“พี่น่าจะไปด้วยกัน”
“ฮ่าๆๆ เอาน่า อีกห้าปีฉันก็จะได้ออกไปแบบไม่ต้องขออนุญาตแล้ว ขี้เกียจทำวิจัยเพิ่ม แค่นี้ก็ล้นมือจะตาย”
“จริงสิครับ พี่อายุยี่สิบแล้วนี่นา”
ตามกฎของศูนย์ เด็กทุกคนห้ามออกไปโลกภายนอกจนกว่าจะอายุยี่สิบห้า แต่มีข้อยกเว้นถ้าหากอายุเกินสิบเจ็ดปี และมาขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษโดยแลกกับงานวิจัยเพิ่มเช่นกรณีของเซฮุน
เอกสารระบุว่าคนที่มาดูแลเซฮุนในการออกไปข้างนอกครั้งนี้คือ นาวาอากาศเอกอู๋อี้ฟาน ในความคิดของเซฮุนคงต้องเป็นชายวัยกลางคนเจ้าระเบียบตามแบบทหารที่เขาเคยเห็นเวลามาดูงานในศูนย์วิจัย แต่กลับผิดคาดไปเสียหมด อู๋อี้ฟานคนนี้เป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่และดูดีแบบคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การแต่งตัวของเขายิ่งทำให้เซฮุนแปลกใจเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มในชุดเสื้อหนังที่แต่งตัวฉูดฉาดราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นมีตำแหน่งเป็นถึงนาวาอากาศเอกเชียวหรือ
“นี่บัตรประจำตัวของฉัน” มือใหญ่ยื่นบัตรประจำตัวที่ระบุตำแหน่งและสังกัดให้เซฮุนดูใกล้ๆ ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าสตางค์อย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ” เซฮุนโค้งแทบจะเก้าสิบองศา ก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามอีกฝ่ายที่ก้าวเดินออกไปแล้วให้ทัน
“รอนานรึเปล่า” เขาหันมาถามระหว่างช่วยเก็บกระเป๋าของเซฮุนไว้ที่หลังรถ
“ไม่นานครับ” เซฮุนแอบไขว้นิ้วอยู่ข้างหลัง ความจริงแล้วเขารอมานานกว่าสี่สิบนาทีแล้วต่างหาก
เขาปิดฝากระโปรงหลังของรถเอสยูวีสีดำคันใหญ่เสียงดัง เซฮุนหันกลับไปมองอาคารอำนวยการของศูนย์วิจัยอีกครั้งก่อนที่จะก้าวขึ้นรถ
เขากำลังจะออกไปนอกกำแพงสีขาวครั้งแรกในชีวิต ทั้งที่ไม่แน่ใจนักว่าอิสรภาพที่เขาสงสัยมันเป็นยังไงกันแน่ คำพูดของศาสตราจารย์ลีดังขึ้นมาในหัวซ้ำไปซ้ำมา
...เธอเป็นคนช่างสงสัยมากเหลือเกินเซฮุน เธอต้องออกไปดูโลกภายนอกบ้างแล้ว
เพราะคำพูดนั้นเองเซฮุนถึงเก็บมาคิดทุกวัน จนในที่สุดถึงได้ตัดสินใจทำเรื่องขออนุญาตทันทีที่เขาอายุครบสิบเจ็ดปี
...ถ้าออกไปข้างนอกผมจะได้อะไรเหรอครับ
“ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์มากนักหรอกเด็กน้อย อีกแค่เจ็ดวันเธอก็ได้กลับมาแล้ว”
“นั่นสิครับ”
เซฮุนเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
“ฉันชื่ออู๋อี้ฟาน แต่อย่าเรียกชื่อนั้น เรียกว่าคริสจะดีกว่า”
“ผมชื่อเซฮุนครับ อืม...แต่ผมเรียกคุณว่าผู้การไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“ไม่ล่ะ เก็บไว้ให้คนในกรมเรียกก็พอ กับเด็กๆอย่างเธอควรจะเรียกฉันว่าพี่คริสหรืออะไรทำนองนั้นจะดีกว่านะ”
“โอเค คริส”
“พี่ด้วยสิ”
“โอเค พี่คริส”
คริสส่ายหน้าแล้วยิ้มไปกับคำเรียกซื่อๆของเด็กตัวขาว ที่ตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากวิวสองข้างทาง ตั้งแต่รถเริ่มพ้นออกจากแนวรั้วของศูนย์วิจัยออกมา
“เซฮุน ในประวัติบอกว่าเธออายุสิบเจ็ด พออายุครบก็อยากออกมาเที่ยวเล่นเลยเหรอ”
เซฮุนไม่ตอบ ตัวทั้งตัวแทบจะแนบไปกับกระจกรถอยู่แล้ว
“เฮ้ ฟังฉันอยู่รึเปล่า”
“อ๋อ... ฟังครับ” โกหกชัดๆ แม้แต่หน้าก็ยังไม่หันกลับมามอง
“ในฐานะที่เราต้องร่วมทางกันตั้งเจ็ดวัน ฉันว่าเราควรจะคุยกันหน่อยนะ บอกตามตรง ฉันเพิ่งรู้ว่าต้องมาดูแลเธอก็เมื่อเช้านี้เอง”
ครั้งนี้เรียกความสนใจจากเซฮุนได้ดีทีเดียว เขากลับมานั่งเรียบร้อยบนเบาะและหันมามองใบหน้าด้านข้างของคริส
“ทำไมกะทันหันจัง แล้วคุณโอเคเหรอครับ”
“ก็ไม่ค่อยหรอก ฉันอุตส่าห์ลางานตั้งเจ็ดวัน ปรากฏว่ามันต้องหมดไปกับการพาเธอเที่ยวทั้งนั้น”
...ซวยแล้วไง เซฮุนกัดปากไม่กล้าพูดอะไรต่อ ดูท่าทางผู้พันคนนี้ไม่ได้เต็มใจมาดูแลเขาเลยสักนิด แถมยังไปผลาญวันลาเขาอีกต่างหาก
“ท่านนายพลโทรมาด้วยตัวเองเชียวนะ ฉันแทบจะตกเตียงตอนรับโทรศัพท์ ...ไง ผู้การอู๋ ได้ข่าวว่าลาพักร้อนอยู่สินะ แต่ผมมีงานสำคัญให้ช่วยหน่อย... ท่านพูดขนาดนั้นใครจะไปปฏิเสธได้กันล่ะ”
“แล้วงานสำคัญที่ท่านว่า ก็นั่งอยู่ข้างๆฉันตอนนี้ ฉันควรจะโอเคกับเขาใช่มั้ยล่ะ”
ควรที่สุดเลยล่ะครับ
แม้จะขับรถมาประมาณหนึ่งชั่วโมงแต่วิวสองข้างทางก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เป็นวิวของต้นไม้ใหญ่สลับกับทุ่งนาของชาวบ้าน เซฮุนไม่กล้าปริปากถามว่าปลายทางของการเดินทางครั้งนี้จะไปสิ้นสุดที่ไหน
“เรื่องของเธอบ้างดีกว่า เด็กน้อยในศูนย์วิจัย ฉันเพิ่งเคยเจอแบบเธอเป็นครั้งแรกเลยนะ” น้ำเสียงของเขาเหมือนทีเล่นทีจริง แต่เซฮุนฟังแล้วขัดใจไม่น้อย
“เด็กแบบผมคือเป็นยังไงเหรอครับ”
“ก็พวกเด็กอัจฉริยะที่ศูนย์ฯเลี้ยงไว้ใช้งานน่ะสิ”
เซฮุนกำมือทั้งสองข้างแน่น เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“อ๋อ แบบนั้นนั่นเอง ก็ดีครับ ผมอยู่สุขสบายดีข้างในนั้น”
“ถ้าสบายดีแล้วอยากออกมาข้างนอกทำไมล่ะ”
“จะได้รู้ว่าข้างนอกยังขาดอะไร เด็กที่ถูกเลี้ยงไว้ใช้งานแบบผมจะได้ช่วยคิดค้นให้ไงล่ะครับ”
สาบานว่าเซฮุนไม่ใช่เด็กช่างประชด เด็กทุกคนในศูนย์แทบจะมีนิสัยคล้ายๆกัน คือสุภาพกับผู้ใหญ่ และต้องคิดก่อนพูด เขาแทบไม่เคยโกรธใครยกเว้นครั้งนี้เอง
“หืม เด็กฉลาดชาติเจริญจริงๆด้วยสินะ” แทนที่คริสจะโกรธ เขากลับหัวเราะเสียงดัง
“คงงั้นอ่ะครับ”
“แล้วเด็กแบบเธอมีเยอะมั้ย ข้างในนั้นน่ะ”
“ในรุ่นนึงมีไม่ถึงยี่สิบคนหรอกครับ พออายุถึงยี่สิบห้าก็เลือกได้ว่าจะออกไปทำงานข้างนอกหรือทำให้ศูนย์ฯต่อ” รวมแล้วจะมีเด็กๆหมุนเวียนกันอยู่ราวๆห้าร้อยคน รวมกับเจ้าหน้าที่ก็เกือบพันชีวิตที่อาศัยอยู่ข้างในรั้วแห่งนั้น
คริสไม่ถามอะไรต่อ เขาเงียบไปสักพักก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุฟัง
“ถ้าฉันพูดจาอะไรที่ขัดหูก็ขอโทษด้วยนะ ฉันก็เป็นคนแบบนี้เอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะได้เรียนรู้ไว้”
“เอาอย่างนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษ จะให้เธอถามคำถามเกี่ยวกับตัวฉันสามคำถาม”
เซฮุนหรี่ตามองหน้าคริสอย่างไม่ไว้ใจ
“ขอเก็บโอกาสในการถามคำถามเอาไว้ก่อนได้มั้ยครับ ผมจะถามคุณเมื่อไหร่ก็ได้สามคำถาม”
“หืม ฉลาดไม่เบา เอาสิ ...ว่าแต่เธอไม่นึกอยากรู้เกี่ยวกับตัวฉันบ้างเหรอ”
“นาวาอากาศเอกอู๋อี้ฟาน อายุ 28 ปี ผู้บังคับการกองบินพิเศษ 611 กรมปฏิบัติการพิเศษ กองทัพอากาศ”
เซฮุนอ่านเอาจากกระดาษในมือ โชคดีที่เซฮุนหยิบเอกสารที่มีใบประวัติของผู้ดูแลติดมาด้วย นึกโกรธตัวเองที่ไม่ได้ดูเอกสารให้ดีก่อนเพราะในประวัติของอู๋อี้ฟานมีทั้งรูปถ่ายและประวัติแบบละเอียดยิบ เป็นถึงผู้การตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ อู๋อี้ฟานไม่น่าจะใช่คนธรรมดา
“ทำไมแค่คนมาดูแลผมถึงต้องส่งทหารระดับคุณมาด้วยล่ะครับ”
“นั่นถือเป็นคำถามแรกนะ คงเพราะฉันพักร้อนอยู่พอดีล่ะมั้ง หึ” คริสหันมายิ้มแสยะให้เซฮุนที่ตอนนี้หน้าตาบูดบึ้งจนคิ้วขมวด
“ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะถาม แค่เปรยๆออกมา”
“เอาน่า เดี๋ยวจะตอบแบบจริงจังให้ เพราะเด็กแบบเธอต้องการการคุ้มครองจากคนที่เก่งที่สุดในกองทัพยังไงล่ะ” เซฮุนเบะปาก แต่ในใจของเขากลับคิดถึงคำพูดของลู่หาน
...ข้างนอกนั่นมันอันตราย คนที่ออกไปแล้วไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลยก็มี
มันอันตรายถึงกับต้องมีคนคุ้มครองขนาดนี้เชียวเหรอ
“เด็กที่อายุไม่ถึงยี่สิบแบบเธอมักจะถูกลักพาตัวไปขายถึงไหนต่อไหน บางทีอาจจะเป็นชายแดนทางเหนือ หรือไม่ก็ขายให้พวกมาเฟียข้ามชาติ โดยเฉพาะมันสมองแบบพวกเธอ ยังเป็นเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันพอถูกปรับความทรงจำนิดๆหน่อยๆก็กลายเป็นเครื่องมือของคนเลวๆแบบนั้นได้แล้ว แค่เธอแอบหนีออกมา พวกมันก็พร้อมที่จะตามจับตัวเธอแบบง่ายๆไม่มีใครห้าม สุดท้ายเธอจะหายไปอยู่สุดขอบโลกไหนก็ไม่มีใครรู้”
เซฮุนเผลอหลับไปทั้งที่คริสเปิดเพลงร็อคเสียงดังสนั่น อาจเป็นเพราะเมื่อคืนเขานอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้น หรือเป็นเพราะความเหนื่อยที่ต้องเถียงกับผู้การคริสมาตลอดทาง สู้หลับหนีความจริงไปดีกว่า
“เจ้าเด็กน้อย ตื่นได้แล้ว”
เซฮุนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมือที่กำลังเขย่าไหล่ของเขาอยู่ พอลืมตาขึ้นมาถึงรู้ว่ารถจอดสนิทแล้ว
“ถึงแล้วเหรอครับ”
“อืม ไปช่วยกันขนของลงมาหน่อย”
เซฮุนเปิดประตูรถลงมาอย่างเชื่องช้า แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้เขาหัวใจเต้นแรง หาดทรายสีอ่อนที่สะท้อนแสงอาทิตย์จัดจ้า ตัดกับสีน้ำเงินสดของผืนน้ำที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นสถานที่ที่เขาเคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ และคาดไม่ถึงว่าจะได้มาตั้งแต่วันแรกแบบนี้
สองขาของเซฮุนพาตัวเองเดินย่ำทรายไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว พอเดินไปได้พักหนึ่งถึงรู้ว่าควรจะถอดรองเท้า เพราะตอนนี้รองเท้าของเขามีแต่ทราย เซฮุนถอดรองเท้ามาถือไว้แล้วเดินย่ำทรายร้อนๆไปอย่างไม่หวาดหวั่น
“เฮ้! มาขนของก่อนสิ เดี๋ยวค่อยลงไป เล่นน้ำตอนนี้ก็ไม่สบายพอดี”
แต่เซฮุนยังคงเดินต่อไป ไม่หันหลังกลับไปตอบโต้ด้วยซ้ำ เดินมาไกลพอจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของคริสและรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นของทรายใต้ฝ่าเท้า
“ทะเลจริงๆด้วยสินะ”
รอยยิ้มถูกวาดขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดอย่างง่ายดาย เขาเดินลงไปจนเท้าแช่อยู่ในน้ำทะเลใสสะอาดทั้งสองข้าง เดินย่ำไปย่ำมาอย่างคนที่เพิ่งเคยสัมผัสครั้งแรก จึงไม่รู้ว่าคลื่นน้ำจะพัดขึ้นมาจนปลายขากางเกงเปียกโชก
แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ยังหัวเราะ
เซฮุนหยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายสีตุ่น ดวงตาหรี่ลงเพื่อมองผ่านเลนส์จนได้มุมที่ถูกใจ เขาเก็บภาพท้องทะเลกับท้องฟ้าไปหนึ่งรูป ตั้งใจจะเอากลับไปให้ลู่หานดู
“สีของทะเลกับท้องฟ้า สีไหนที่สวยกว่ากันนะ”
“ฉันชอบของสีทะเลนะ”
เซฮุนสะดุ้งตกใจ โชคดีที่ไม่ได้ทำอะไรหล่น เป็นคริสที่กำลังมองข้ามไหล่ของเขามายังรูปโพราลอยด์ในมือ
“ตกใจหมดเลย”
“เวลามองลงมาจากข้างบนนั้นมันสวยมาก”
“จากบนฟ้าเหรอครับ”
คริสยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “ใช่ ท้องทะเลมีหลายเฉดสี ดูสวยแบบลึกลับน่าค้นหา”
คริสดึงปลายเสื้อของเซฮุนให้ตามกลับขึ้นไปที่รถ พอเซฮุนหันกลับมองขึ้นไปถึงได้เห็นว่ามีบ้านกล่องสี่เหลี่ยมตั้งอยู่หลังหนึ่ง
“ผมไม่เคยเห็นจากข้างบนแบบนั้นเลย น่าสนุกดีนะครับ”
“อืม ถ้าเป็นการซ้อมบินปกติก็สนุกดี แต่ถ้าอยู่ข้างบนนั้นในเวลาสงครามน่ะ มันไม่สนุกเลยสักนิด”
เซฮุนรู้สึกผิดอยู่ข้างใน อยากจะขอโทษที่พูดอะไรให้คนที่มาดูแลเขาไม่สบายใจ แต่อีกใจหนึ่งก็เถียงว่าเขาไม่ได้พูดอะไรผิด
“บ้านของใครเหรอครับ” เซฮุนถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัด คริสหันกลับมามองเขาด้วยสายตาปกติ และตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
“บ้านฉันเอง ทีแรกตั้งใจว่าจะมาพักร้อนที่นี่คนเดียว แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยพาเธอมาด้วย”
เซฮุนพยักหน้าเข้าใจ สายตามองสำรวจภายในบ้านทรงสี่เหลี่ยมที่คนสมัยนี้นิยมซื้อมาอยู่อาศัย ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใสที่เปิดออกสู่ทะเล มีระเบียงไม้ขนาดกว้างพอดีที่จะวางม้านั่งไว้สักตัวสองตัว ภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องนอนและห้องน้ำกั้นเป็นสัดส่วน
“จริงสิ ลืมถามไปเลยว่าอยากจะไปที่ไหนบ้าง แต่ถ้าให้เดา เธอคงอยากมาทะเลอยู่แล้วสินะ”
“ครับ”
“งั้นอยากไปไหนอีก”
“ไปภูเขา น้ำตก พิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนสัตว์ ห้างฯ แล้วก็...”
“โอเคๆ เข้าใจล่ะ”
“คุณไม่โกรธแล้วเหรอครับ”
“โกรธเรื่อง?” คริสทำหน้างง
“ไม่มีอะไรครับ”
เซฮุนนั่งลงบนเก้าอี้อะคริลิคใส หยิบของสองสามอย่างออกจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะกินข้าวสเตนเลส มีกล้องโพราลอยด์ รูปที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อครู่หนึ่งใบ ปากกา และซองจดหมาย
ลู่หานเป็นคนให้ของพวกนี้กับเขาเมื่อสามวันก่อน เพื่อนรุ่นพี่บอกว่ามันคงสนุกดีถ้าเซฮุนถ่ายรูปแล้วส่งมาให้เขาดูทุกวันทางจดหมาย ลู่หานชอบวิธีการที่ดูเหมือนจะช้าและเชยแต่มันคลาสสิคที่สุด
“จะบ่ายแล้วนะ หิวรึยัง”
คริสเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นกางเกงยีนส์และเสื้อยืดสบายๆเรียบร้อยแล้ว
“หิวแล้วครับ ผู้การจะทำอาหารเหรอครับ” เซฮุนมองซ้ายมองขวา หันไปมองครัวเตรียมอาหารเล็กๆที่สะอาดเอี่ยม ดูท่าจะยังไม่เคยใช้
“เปล่า จะออกไปกินข้างนอก เธอชอบพิซซ่ามั้ย”
ย่านร้านอาหารริมชายหาดในเมืองอยู่ไม่ไกลจากบ้านของคริสมากนัก เซฮุนได้รับอนุญาตให้เปิดกระจกรถออกเพื่อดูวิวข้างทางให้ชัดๆ ลมทะเลเย็นๆพัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เซฮุนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่เคยกินพิซซ่าเลยครับ” เซฮุนกวาดสายตามองเมนู แล้วเงยหน้าขึ้นมามองคริส
“ล้อเล่นน่า ข้างในไม่มีให้กินหรือไง”
“ข้างในไม่มีอาหารฟาสต์ฟู้ดหรอกครับ” เซฮุนทำหน้าหงอย เขาเคยเห็นพิซซ่าแต่ในโทรทัศน์เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวสั่งให้ มาทะเลทั้งทีต้องกินหน้าซีฟู้ดนะ”
“ขอบคุณครับ” เซฮุนยิ้มกว้าง มองตามนิ้วมือของคริสที่ชี้ไปที่เมนู
“เวลาเธอทำตัวเป็นเด็กดีนี่... ความจริงก็น่ารักดีนะ”
“หือ?” เซฮุนยกนิ้วชี้ตัวเอง
“แถวนี้มีเด็กอยู่กี่คนล่ะ” คริสกวาดตามองเซฮุนที่หันมองทุกอย่างรอบตัวอย่างสนอกสนใจไปหมด “ชุดเชยๆนี่ศูนย์ฯให้มาใส่เหรอ ฉันอยากจะจับถอดแล้วเอาไปเผาทิ้งให้หมด”
“อ้าว แล้วผมจะใส่อะไรล่ะครับ”
“เดี๋ยวฉันจัดให้”
หลังพิซซ่าที่เซฮุนได้กินครั้งแรกในชีวิต แน่นอนว่าเขาถ่ายรูปเก็บเอาไว้อีกใบ คริสก็พาเซฮุนย้ายมาที่ย่านการค้าในตัวเมืองที่อยู่ถัดจากกันไม่ไกล เขาพาเซฮุนเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ จับเซฮุนให้ใส่ชุดประหลาดๆตามสไตล์ตัวเอง หลังจากเถียงกันอยู่นานสุดท้ายเซฮุนก็เลือกตัวที่เรียบที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าที่คริสเลือกมาให้
“ผู้การไม่ต้องจ่ายเงินให้ผมหรอกครับ ที่ศูนย์ฯให้นี่มา” เซฮุนชูบัตรเครดิตสีดำให้คริสดู
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยากซื้อให้ ทนเห็นเธอใส่ผ้าขี้ริ้วนี่ไม่ไหวจริงๆ ...แล้วก็ บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่คริส”
“พูดเกินไปครับ เสื้อของศูนย์ฯใส่สบายออกจะตาย”
“กลับบ้านแล้วจะเอาออกมาทิ้งให้หมด”
“อย่านะ!”
พอกลับมาจากซื้อของในเมือง คริสก็พาเขาไปเดินเล่นที่ริมชายหาดอีกครั้ง ได้รับอนุญาตให้เล่นน้ำได้แต่ห้ามลงไปลึก โดยที่มีคริสนอนอาบแดดอยู่ไม่ไกล เขาเล่นน้ำเพลินจนลืมเวลา สุดท้ายคริสก็ต้องมาตามให้ขึ้นจากน้ำ แต่เซฮุนก็อ้อนให้ผู้การคริสมาเล่นน้ำด้วยกันจนได้ เล่นคนเดียวมันน่าเบื่อออก
“สอนผมว่ายน้ำหน่อยสิ”
“นี่เธอว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ ถามจริงๆทำอะไรเป็นบ้างเนี่ย”
“ก็ผมไม่ชอบนี่นา ตอนเด็กก็มีครูมาสอนว่ายน้ำอยู่หรอก แต่ผมกลัวจนไม่ยอมไปเรียน”
“เชื่อเขาเลยเด็กน้อย ถ้าอย่างนั้นจับมือฉันเอาไว้ แล้วลอยตัวในน้ำให้ได้ก่อน...เอาขาขึ้น ลอยตัว...”
“งื้อ ถ้าคุณปล่อยมือจะจมมั้ยอ่ะ”
“ถ้าไม่เรียกพี่จะปล่อยจริงๆ”
“พี่คริส อย่าปล่อยนะ”
“ไม่ปล่อยมือหรอกน่า ไว้ใจฉันสิ”
แต่มันก็เป็นการเรียนว่ายน้ำที่ล้มเหลว เซฮุนยังคงว่ายน้ำไม่เป็น แม้จะกล้าลอยตัวในน้ำแล้ว แต่ก็ยังต้องเกาะตัวคริสไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“พรุ่งนี้อยากไปไหนคิดรึยัง”
คริสถามขึ้นหลังจากมานั่งเล่นที่ระเบียงกันเงียบๆอยู่สักพัก คริสนั่งดื่มเบียร์พลางเล่นโทรศัพท์มือถือ ส่วนเซฮุนกำลังเขียนจดหมายให้ลู่หานอยู่ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าลงไปที่ขอบน้ำ แสงสีส้มอ่อนโยนทำให้เซฮุนรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้จะเพิ่งเจอกันไม่ถึงหนึ่งวัน เซฮุนก็คิดว่าผู้การคริสเป็นคนดี ถึงจะปากร้ายไปหน่อยตามนิสัยคนเถรตรงแต่ความจริงก็มีมุมที่ใจดีอยู่เหมือนกัน
“อยากไปเมืองหลวงครับ”
“หืม...ไกลนะ บินไปน่าจะดีกว่าขับรถ”
“อยากไปครับ อยากบินด้วย ผมอยากเห็นทะเลจากข้างบนนั้นบ้าง”
“แล้วไม่อยากอยู่ทะเลต่อแล้วเหรอ แค่วันเดียวจะพออะไร”
“ผมมีเวลาไม่มากนักหรอกครับ”
เซฮุนมองซองจดหมายที่ปิดผนึกเรียบร้อยแล้ว ข้างในมีรูปถ่ายห้าใบที่เซฮุนเก็บรวบรวมในวันนี้ เขาตั้งใจจะถ่ายรูปสถานที่แปลกๆส่งไปให้ลู่หานให้มากที่สุด แล้วจะหาคำตอบให้กับคำถามที่เซฮุนสงสัยมาเนิ่นนานว่า อิสรภาพคืออะไร...
“อิสรภาพของผู้การ หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“อิสรภาพของฉันน่ะเหรอ... คงเป็นการได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่ๆไม่มีสงครามล่ะมั้ง”
เซฮุนพยักหน้า พยายามทำความเข้าใจ ...อิสรภาพของคริส คือสันติภาพ
แล้วอิสรภาพที่เซฮุนค้นหา มันหมายถึงอะไรกันนะ
...เธอเป็นคนช่างสงสัยมากเหลือเกินเซฮุน เธอต้องออกไปดูโลกภายนอกบ้างแล้ว
...ถ้าออกไปข้างนอกผมจะได้อะไรเหรอครับ
...ความหมายของการมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ
tbc